“ระบบทางเดินอาหาร” ทำหน้าที่ในการลำเลียงและย่อยอาหาร เพื่อให้ได้สารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ทางเดินอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เป็นต้น อดีตเราเข้าใจว่าระบบที่ควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มีชื่อเรียกว่า แกนไฮโพทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล (hypothalamic-pituitary-adrenal axis; HPA) ซึ่งเป็นส่วนควบคุมความเครียดของร่างกาย และเป็นสาเหตุใหญ่ของการป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคอารมณ์แปรปรวน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบข้อมูลเพิ่มเติมว่าไม่ใช่แค่แกน HPA เท่านั้นที่ควบคุมการทำงานด้านอารมณ์ของร่างกาย จุลินทรีย์ต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหารก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน และนอกเหนือจากอารมณ์ความรู้สึกแล้ว จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารยังมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าร่างกายคุณจะติดเชื้อโรคได้ง่ายหรือยากแค่ไหนอีกด้วยค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ได้แก่
1. อาหารที่รับประทานไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารไม่สะอาด อาหารดิบ หรืออาหารปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรือ อาหารค้างคืน
2. รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์และทำให้ลำไส้เสียสมดุลบ่อยเกินไป เช่น ช็อคโกแลต ขนมหวาน การรับประทานอาหารแช่แข็งหรืออาหารที่ผ่านกระบวนการมาก ๆ (processed food) ทำให้จำนวนจุลินทรีย์ลงถึงมากถึง 40% ภายในเวลา 10-14 วัน
3. การรับประทานน้ำดื่มที่ไม่สะอาด
4. การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินอาหารเสียสมดุลเกิดความผิดปกติ
5. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด การรับประทานอาหารแต่ละมื้อในปริมาณที่มากเกินไป รับประทานอาหารรสจัด เผ็ดจัด ขาดการรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้คนส่วนใหญ่ละเลยการรับประทานอาหาร รับประทานอาหารไม่ตรงต่อเวลา ก็มีส่วนทำให้เกิดโรคทางระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ ตามมาได้
6. พฤติกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนหลับไม่สนิท หลับไม่เป็นเวลา ภาวะเครียดเรื้อรัง รวมถึงโรคประจำตัวก็ส่งผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา
7. อายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ลดลง ท้องผูกง่ายขึ้น
ประโยชน์ของโพรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ตัวดี
พบว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนเราสามารถสื่อสารกับสมองผ่านทางฮอร์โมนและการสื่อสารโดยตรงไปยังสมอง ดังนั้น จุลินทร์ย์จึงสามารถควบคุมอารมณ์ของร่างกายได้ผ่านกลไกดังกล่าว หากร่างกายเรามีจุลินทรีย์ตัวดีหรือโพรไบโอติกส์จำนวนมาก ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ระบบทางเดินอาหารและร่างกายแข็งแรง การที่ร่างกายได้รับโพรไบโอติกส์ (probiotics) หรือจุลินทรีย์ตัวดีจะช่วยเพิ่มความดิดด้านบวก ลดการคิดด้านลบ และลดอาการวิตกกังวลได้อีกด้วย
การรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย มีความสำคัญต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เช่น ช่วยการขับถ่าย การดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่
วิธีปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ทางเดินอาหารแข็งแรง
1. การควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ลดการบริโภคน้ำตาล
2. รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณไฟเบอร์ที่เหมาะสม
3. รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน รวมถึงโปรตีนจากพืช
4. สร้างสมดุลจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ โดยการรับประทานโพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์
การดูแลสุขภาพลำไส้ที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุด คือ การสร้างสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีในสำไส้ให้มีปริมาณจุลินทรีย์ตัวดีหรือโพรไบโอติกส์ที่เหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการบริโภคอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้ ได้แก่ โพรไบโอติกส์เพื่อเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย และพรีไบโอติกส์เพื่อเสริมประสิทธิภาพโพรไบโอติกส์ให้ดียิ่งขึ้น โดยเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์
จุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารมีมากถึง 100,000 ล้านตัว เราเรียกจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ว่า ‘โพรไบโอติกส์’ แต่เมื่อใดก็ตามที่ระบบทางเดินอาหารของเราเสียสมดุล ไม่ว่าจะเกิดจากภาวะโภชนาการที่ไม่สมดุล ความเครียด และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จุลินทรีย์ตัวร้ายก็จะเจริญเติบโตมากขึ้น จุลินทรีย์ตัวดีลดลง เกิดเป็นโรคต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหารตามมา
PROFIBERRY ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติ ประกอบด้วยโพรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ตัวดี (ชนิด Bacillus coagulans) เสริมด้วยอาหารของจุลินทรีย์หรือพรีไบโอติกส์ในหนึ่งเดียว ได้แก่ ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ กาแลคโตโอลิโกแซคคาไรด์ ข้าวสาลี อาร์ติโชค สารสกัดกีวี่สีทอง เป็นตัวช่วยให้ร่างกายมีจุลินทรีย์ตัวดี และอาหารของจุลินทรีย์ตัวดีเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นตัวช่วยช่วยปรับสมดุลทางเดินอาหาร ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ลดปัญหาท้องผูก ถ่ายไม่ออก ถ่ายไม่สุด แน่นท้อง ช่วยดีท็อกส์ลำไส้ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ วัย 30+ วัยทอง ถึงวัย 60+... เห็นประโยชน์ดี ๆ อย่างนี้แล้วรอช้าไม่ได้แล้วล่ะค่ะ