“วัยทอง” นับเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และการปรับตัวเข้ากับสังคง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อาการวัยทองสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่โดยมากอาการวัยทองในผู้หญิง จะชัดเจนและมีผลกระทบมากกว่า โดยแต่ละคน อาจเกิดอาการวัยทองมากน้อยแตกต่างกันไป ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย จนกระทั่งมีอาการมากและมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน สำหรับผู้ที่มีอาการมาก อาจมีผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับอาการวัยทอง และผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะช่วยให้วัยทองทุกท่านสามารถดูแลตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
อาการวัยทอง
- อาการร้อนวูบวาบ เป็นอาการทางร่างกายที่พบได้บ่อยที่สุดในวัยทอง และเป็นอาการที่ส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง เกิดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
- เหงื่อออกในตอนกลางคืน
- นอนไม่หลับ
- กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะบ่อย
- ในเพศหญิงการตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศจะลดลง เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์และไม่ถึงจุดสุดยอด เนื่องจากช่องคลอดมีผนังบางลง มีอาการคัน แสบร้อน ระคายเคืองบริเวณช่องคลอด การผลิตน้ำหล่อลื่นจากต่อมต่าง ๆ ภายในระบบสืบพันธุ์ลดลง ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และอาจกระทบต่อสัมพันธภาพ จึงเกิดปัญหาครอบครัวตามมา
- ปวดศีรษะไมเกรน
- ปวดกระดูกและข้อ
- เป็นโรคกระดูกพรุน
- อาการทางจิตใจ เช่น อาการซึมเศร้า หลงลืมง่าย สมาธิสั้น และหงุดหงิดง่าย โดยพบว่าอาการซึมเศร้าเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด และมีผลต่อการอยู่ในสังคมมากที่สุด
หากมีอาการวัยทองแล้วไม่รีบแก้ไข จะเกิดอะไรตามมาได้บ้าง ?
1. โรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่มวลกระดูกลดน้อยลง มักเกิดกับสตรีวัยหมดประจำเดือน และผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จึงเรียกได้ว่าเป็นอาการวัยทอง ที่เกิดได้ทั้งกับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง เนื่องจากในวัยทอง อัตราการสร้างและการทำลายกระดูก จะไม่สมดุลกัน จึงส่งผลให้มีการทำลายกระดูกมากขึ้นและสร้างได้น้อยลง มวลกระดูกโดยรวมจึงลดน้อยลง กลายเป็นโรคกระดูกพรุนในที่สุด
สำหรับอาการแทรกซ้อนของโรคกระดูกพรุน จะทำให้กระดูกเสียความแข็งแรง กระดูกหักง่าย เคลื่อนไหวได้ลดลง ช่วยเหลือตัวเองลำบาก โดยพบว่าหากเกิดกระดูกข้อสะโพกหักจากกระดูกพรุน จะมีอันตรายสูงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาวะกระดูกหักหากเกิดในวัย 60+ จะรักษาได้ยาก เพราะกระดูกหักในผู้สูงอายุจะติดช้า มีภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนกระดูกสะโพกหัก อาจทำให้เกิดภาวะทุพพลภาพตามมา หรือเสียชีวิตได้ภายใน 1-2 ปี
2. โรคซึมเศร้า
สาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคซึมเศร้า คือ ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น การเข้าสู่วัยทอง มีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะหลังคลอด รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความเครียด ก็นำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าได้ ถ้าเริ่มมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษา ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี รับประทานยาสม่ำเสมออาการก็มีโอกาสดีขึ้น จนหายเป็นปกติได้ ที่สำคัญคืออย่าปล่อยไว้นาน เนื่องจากอาการอาจรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
3. โรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์ เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอย ของการทำงานหรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมอง ซึ่งมักพบในผู้ที่มีอายุ 40+ โดยไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติ เพราะผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน แต่เป็นความเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) โรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่แค่หลงลืม แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรม หรือทางจิตเวชร่วมด้วย ซึ่งอาการทางพฤติกรรมนี่เอง ที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีอาการก้าวร้าว เมื่ออาการมากขึ้นผู้ป่วยจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง จำลูกหลานไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าไม่เป็น ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งมักนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด
4. โรคมะเร็งต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ รวมถึงมะเร็งท่อน้ำดี
จากข้อมูลทางการแพทย์ จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าสู่วัยทอง นอกจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อันจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอารมณ์ ผิวพรรณ ร้อนวูบวาบแล้ว ภัยเงียบที่ยังไม่เกิดอาการ แต่กำลังก่อตัวในระดับเซลล์ และเรามองไม่เห็นก็อาจเกิดขึ้นได้ หากเราไม่ใส่ใจดูแลและระมัดระระวัง เมื่ออายุมากขึ้น ก็พบอัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเสื่อมของเซลล์ เนื่องจากเกิดสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ในร่างกายมากขึ้น และร่างกายไม่สามารถต้านได้เช่นเดิม การตรวจคัดกรองมะเร็ง จึงจัดเป็นการดูแลสุขภาพเชิงรุก สำหรับบุรุษและสตรีวัยทองที่ไม่ควรละเลย
5. ปัญหาด้านระบบทางเดินปัสสาวะ
ในผู้หญิงการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เนื้อเยื่อและหลอดเลือดรอบกระเพาะปัสสาวะฝ่อเหี่ยว ทำให้กลั้นปัสสาวะลำบาก เวลาไอ จาม หรือหัวเราะแรง ๆ อาจเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ นอกจากนี้ การขาดเอสโตรเจนทำให้เยื่อบุผิวทางเดินปัสสาวะบางลง จึงติดเชื้อได้ง่าย เมื่อเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย และแสบขัดตอนปัสสวะใกล้จะสุด
6. โรคต่อมลูกหมากโต
ในผู้ชาย พบว่าฮอร์โมนแอนโดรเจน มีผลกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโตขึ้นแล้ว และมีผลลดอัตราการตายของเซลล์อีกด้วย ในชายวัย 45+ ปริมาณฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่บริเวณอื่น ๆ ในร่างกายจะลดลง แต่ปริมาณแอนโดรเจนที่ต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณสูง ทำให้ต่อลูกหมากขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนไปกดทับท่อปัสสาวะให้ตีบเล็กลง ทำให้คนไข้มีอาการปัสสาวะติดขัด นอกจากนี้ต่อมลูกหมากโตอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ผนังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหนาขึ้น เนื่องจากต้องบีบตัวแรงขึ้น เพื่อขับน้ำปัสสาวะให้ผ่านท่อแคบ ๆ และเมื่อผนังกระเพาะปัสสาวะหนาตัวขึ้น ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำปัสสาวะลดลง คนไข้จึงต้องปัสสาวะบ่อย และอาจได้รับการกระตุ้น ให้ปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหันได้
รับประทานฮอร์โมนทดแทนเสริมดีหรือไม่ ?
เรื่องการใช้ฮอร์โมนเสริมในวัยทอง (ฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง และฮอร์โมนแอนโดรเจนในเพศชาย) คนทั่วไปมักจะคิดว่าเมื่อเข้าสู่วัยทอง ทุกคนจะต้องกินฮอร์โมนเสริม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะวัยทองบางคนก็ไม่จำเป็นต้องกินฮอร์โมนทดแทนเลย สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงมาก ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่มีประวัติความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุนของคนในครอบครัว ไม่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน มีไขมันสูง) รวมถึงไม่มีอาการของโรควัยทองใด ๆ ก็ไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการวัยทองมาก ๆ และรบกวนคุณภาพชีวิต หรือมีอวัยวะบางอวัยวะทำงานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ในผู้ที่เริ่มมีอาการวัยทองขั้นต้น อาจพิจารณาทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่เป็นสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง “M TALE CORDYCEPS PLUS GOJIBERRY” เพื่อปรับสมดุลองค์รวม ลดปัญหาอาการวัยทอง และ “M TALE CALLAGEN” ผลิตภัณฑ์เสริมสร้างบำรุงกระดูก ข้อต่อ ลดอักเสบในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงผิวพรรณในวัย 40+
แหล่งอ้างอิง
1. National Institute for Health and Care Excellence. https://www.nice.org.uk/guidance/ng23/resources/menopause-diagnosis-and-management-pdf-1837330217413
2. The American College of Obstetricians and Gynecologists. https://www.acog.org/-/media/For-Patients/faq047.pdf?dmc=1&ts=20200206T0842076252
3. Royal College of Obstetricians and Gynaecologists. https://www.rcog.org.uk/globalassets/documents/patients/patient-information-leaflets/gynaecology/pi-treatment-symptoms-menopause.pdf