" แคลเซียม " เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ เราจึงได้รับแคลเซียมจากการรับประทานอาหาร เช่น นม งาดำ ปลาเล็ก กุ้งแห้ง อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารให้ได้ปริมาณแคลเซียม อย่างเพียงพอต่อวันอาจทำได้ยาก จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักจะรับประทานอาหารได้น้อยอยู่แล้ว ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน สำหรับวัย 40+ คือ 1,000 - 1,200 มิลลิกรัม ต่อวัน ( เท่ากับต้องดื่มนมอย่างน้อยวันละ 6 - 7 แก้ว )
การขาดแคลเซียมจะส่งผลให้การทำงานของร่างกาย เกิดความผิดปกติในหลายส่วน เช่น ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง จนทำให้กระดูกบางและแตกหักได้ง่าย เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ภาวะพร่องแคลเซียมอย่างรุนแรง และอาจเกิดอาการชาปลายนิ้ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือชัก เป็นต้น
ปกติคนไทยกินอาหารที่มีธาตุแคลเซียมในปริมาณที่ต่ำกว่า ความต้องการที่แท้จริงของร่างกาย ดังนั้น การรับประทานแคลเซียมเสริม เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมครบถ้วน จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันการขาดแคลเซียมได้
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมในอาหาร ได้แก่
* สารออกซาลิกแอซิคในอาหาร โดยมักพบในพืชจำพวกผักโขม ปวยเล้ง ใบชะพลู หน่อไม้ ผักแพว ซึ่งจะรวมกับแคลเซียมในอาหาร เกิดเป็นแคลเซียมออกซาเลท เป็นสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ ดังนั้นแคลเซียมจึงไม่สามารถดูดซึมได้
* การเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร หากเคลื่อนไหวเร็ว จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง เนื่องจากระยะเวลาที่อาหารได้สัมผัส กับผนังลำไส้ลดลง
* การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก เส้นใยจะจับกับแคลเซียมในทางเดินอาหาร ทำให้แคลเซียมไม่ถูกดูดซึมในลำไส้ และทำให้เกิดอาหารปวดท้อง แน่นท้องได้
ผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด มีจำหน่ายทั้งในรูปแบบที่เป็นเม็ดฟู่ ชนิดเม็ด และชนิดแคปซูล โดยอยู่ในรูปของเกลือของแคลเซียมชนิดต่าง ๆ ซึ่งให้ปริมาณแคลเซียมแตกต่างกัน และร่างกายของคนเราสามารถดูดซึม แคลเซียมแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน ดังนี้
- แคลเซียมคาร์บอเนต ( calcium carbonate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 40 ของน้ำหนัก ร่างกายดูดซึมได้ 10% ควรรับประทานพร้อมอาหารเท่านั้น เนื่องจากแคลเซียมจะดูดซึม เมื่อมีกรดในกระเพาะอาหาร
- ไตรแคลเซียมฟอสเฟต ( tricalcium phosphate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 38
- แคลเซียมซิเทรต ( calcium citrate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 21 ร่างกายดูดซึมได้ประมาณ 50%
- แคลเซียมแล็กเทต ( calcium lactate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 13
- แคลเซียมแอล - ทรีโอเนต ( calcium L-threonate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 13
- แคลเซียมกลูโคเนต ( calcium gluconate ) ให้ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 8
โดยหากกินแคลเซียมคาร์บอเนต 1,000 มิลลิกรัม จำนวน 1 เม็ด ร่างกายของเราจะได้รับแคลเซียมเป็นจำนวน 400 มิลลิกรัม ( หรือร้อยละ 40 ของ 1000 มิลลิกรัม ) แต่หากกินแคลเซียมแล็กเทต 1000 มิลลิกรัม ร่างกายของเราจะได้รับแคลเซียมเพียง 130 มิลลิกรัม ( หรือร้อยละ 13 ของ 1000 มิลลิกรัม ) เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แคลเซียม จึงควรคำนึงถึงเกลือของแคลเซียม ว่าเป็นเกลือชนิดใดด้วย เพราะเกลือของแคลเซียมแต่ละชนิด ให้แคลเซียมในปริมาณที่แตกต่างกัน และร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมแต่ละชนิด ในแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน โดยการรับประทานแคลเซียมเสริมแต่ละวัน ในปริมาณที่พอเหมาะไม่ทำให้เกิดผลเสียใด ๆ ต่อร่างกาย
นอกจากนี้ การรับประทานแคลเซียมคาร์บอเนต อาจทําให้มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง แน่นท้อง บางรายจะมีอาการท้องผูกมาก สามารถหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ โดยการรับประทานแคลเซียมซิเตรต (calcium citrate) หรือแคลเซียมที่มาจากธรรมชาติ เนื่องจากเป็นแคลเซียมชนิดที่ดูดซึมง่าย และกระเพาะอาหารไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพเป็นกรด เพื่อใช้ในการแตกตัวและดูดซึม และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียม พร้อมกับอาหารที่มีกากใยสูง
อย่างไรก็ตาม แคลเซียมที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่ เป็นแคลเซียมที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ทำให้คนบางกลุ่มที่ต้องการรับประทานสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มีความกังวลในเรื่องของสารตกค้างที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น จึงได้มีการคิดค้นนวัตกรรม TruCal® โดยการผลิตแคลเซียมจากแหล่งน้ำนมธรรมชาติ ด้วยการทำให้แห้งแบบพ่นฝอย TruCal® เป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน นอกเหนือจากแคลเซียมแล้ว โดยแร่ธาตุอื่น ๆ ได้แก่ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี และทองแดง ซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการซ่อมแซมกระดูก
โดยได้มีผู้ทำการศึกษาความหนาแน่นของกระดูก ในหนูที่ได้รับประทาน TruCal® เทียบกับกลุ่มที่กินแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มหนูที่ได้รับประทาน TruCal® มีความหนาแน่น และความแข็งแรงของกระดูกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มหนูที่ได้รับประทานแคลเซียมคาร์บอเนต ( ดังรูป 1 และ 2 ตามลำดับ )
รูปที่ 1 แสดงความหนาแน่นของกระดูก ( Bone Density )
ในหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานแคลเซียมเสริม, หนูกลุ่มที่รับประทานแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3), และหนูกลุ่มที่รับประทาน TruCal®
รูปที่ 2 แสดงความแข็งแรงของกระดูก (Tensile Strenght)
ในหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานแคลเซียมเสริม, หนูกลุ่มที่รับประทานแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3), และหนูกลุ่มที่รับประทาน TruCal®
จะเห็นได้ว่าการรับประทาน TruCal® ซึ่งเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ นอกเหนือที่แคลเซียมคาร์บอเนตให้ได้แต่เพียงแคลเซียมเท่านั้น ส่งผลให้สามารถเพิ่มความหนาแน่น และความแข็งแรงของกระดูก ได้มากกว่าการรับประทานแคลเซียมเดี่ยว ๆ โดยหากต้องการลดปัญหาเรื่องกระดูกพรุน ข้อเสื่อม และบำรุงข้อกระดูกอ่อน ควรเลือกรับประทาน TruCal® เสริม ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อการบำรุงกระดูกและข้อโดยเฉพาะ M TALE CALLAGEN อีกทางเลือกเพื่อกระดูกและข้อที่แข็งแรง [คลิก]
เอกสารอ้างอิง
1. U.S. National Institues of health. https://ods.od.nih.gov/factsheets/Calcium-HealthProfessional/. 16 October 2019.
2. Mayoclinic. https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/nutrition-and-healthy-eating/in-depth/calcium-supplements/art-20047097. Access online: 10 January 2020.