ปัญหาโรคกระดูกพรุนนับเป็นภัยเงียบในผู้หญิงวัยทอง รวมถึงผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ทุกคนมองข้ามและละเลย โดยส่วนใหญ่จะไม่ทราบมาก่อนเลยว่าตัวเองมีภาวะกระดูกพรุน เพราะโรคนี้ไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมา อาการของโรคจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว จนกระทั่งล้มแล้วเกิดกระดูกหักหรือกระดูกร้าว จึงจะรู้ว่าตนเองมีภาวะโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน เป็นภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างกระดูกเสื่อมลง ทำให้กระดูกเปราะบาง จึงมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย ซึ่งปัญหาดังกล่าวพบได้บ่อยในหญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป โดยพบว่าผู้หญิงไทยที่หมดประจำเดือน หรือผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง การสลายกระดูกจะเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศ จึงเริ่มสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเกิดกระดูกหักได้ถึง 40-50% โดยเพศหญิงเสี่ยงต่อกระดูกหักมากเป็น 3 เท่า ของเพศชาย เพราะกระดูกเพศหญิงจะบางและมีความพรุนมากกว่าเพศชาย
สำหรับอาการของโรคกระดูกพรุน ระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นจะทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก บางคนอาจความสูงลดลง (มากกว่า 3 ซ.ม.) เนื่องจากกระดูกสันหลังโปร่งบางและยุบตัวลงช้า ๆ บางรายอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังโก่งค่อม กระดูกเปราะหักง่ายกว่าคนปกติแม้ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรง ในบางรายเพียงแค่มีอาการไอรุนแรงก็อาจทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ โดยภาวะที่อันตรายที่สุด คือ กระดูกหัก บริเวณที่พบบ่อยได้แก่ กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ กระดูกหักจะทำให้เกิดอาการปวดมากจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระดูกบริเวณสะโพกหัก จะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถกลับมาเดินได้อย่างคนปกติ ต้องนอนพักรักษาตัวทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ปอดอักเสบ เกิดแผลกดทับ ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด อ้วนลงพุง และโรคเรื่อรังอื่น ๆ เป็นเหตุให้สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
จากการวิจัยพบว่า หากกระดูกสะโพกหักจากโรคกระดูกพรุน ผู้ป่วย 20% มักเสียชีวิตภายใน 1 ปี, 30% พิการถาวร, 40% ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงในการเดิน, 80% ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ การตรวจวัดมวลกระดูก Bone Mineral Density (BMD) แต่เนิ่น ๆ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการตรวจภาวะกระดูกพรุน โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ตรวจเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป ซึ่งบางครั้งก็พบว่าสายเกินไปเสียแล้ว
การป้องกันโรคกระดูกพรุนนั้นไม่ใช่เรื่องของวัยทอง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นและวัย 30 ปีขึ้นไป โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อลดโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงวัยทองรวมถึงผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ควรดูแลสุขภาพตนเองให้มากกว่าปกติ เนื่องจากความหนาแน่นของมวลกระดูกจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ จึงควรทำการเสริมสร้างกระดูกอย่างเพียงพอ เพื่อทดแทนกระดูกที่สูญเสียไป
การเสริมมวลกระดูกจะยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เพราะมวลกระดูกจะมีความหนาแน่นลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุมีความเสื่อมถอยของร่างกาย จึงควรลดความเครียด งดการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ชั่วโมง รับแสงแดดยามเช้าเพื่อรับวิตามินดี พยายามป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้ม รวมถึงรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงให้ได้มากที่สุด เช่น กุ้งแห้ง ถั่วแดง ผักคะน้า นม ปลาตัวเล็ก เป็นต้น ซึ่งเป็นสารหลักในการสร้างเนื้อกระดูก และจะช่วยลดการสลายของแคลเซียมจากกระดูกได้ด้วย
นอกจากนี้ เราสามารถหันมารับประทานแคลเซียมเสริมทรูแคล (TRUCAL®) แคลเซียมจากแหล่งน้ำนมธรรมชาติ นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา M TALE CALLAGEN อีกทางเลือกเพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง
เอกสารอ้างอิง
1. National Osteoporosis Foundation. https://www.nof.org/preventing-fractures/general-facts/what-women-need-to-know/
2. WebMD. https://www.webmd.com/menopause/guide/osteoporosis-menopause#1